นายสายัณห์ จันทนรัตน์ เกิดที่กรุงเทพฯ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2504 พ่อของนายสายัณห์เป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย และเป็นมือเล่นเครื่องดนตรีแซกโซโฟนในชมรมดนตรีของที่ทำงาน ส่วนแม่ของเขาเป็นแม่บ้าน และด้วยความที่แม่ของสายัณห์ไม่ได้มีการศึกษาสูง เธอจึงได้หารายได้เสริมครอบครัวด้วยการประกอบอาชีพเป็นแม่ค้าขาอาหาร กับข้าวเพื่อจุนเจือเพิ่มเติมสำหรับคนในครอบครัว
พ่อและแม่ของนายสายัณห์ได้แยกทางกันเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาลุงและยายของเขาได้เป็นคนเลี้ยงดูสายัณห์จนเขาเติบโต
สายัณห์ถูกไล่ออกจากโรงเรียนแห่งแรกเนื่องจากเขามีเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา เพื่อนคนนั้นได้ดูถูก ดูแคลนสายัณห์ว่าเขาเป็นเด็กยากจน และพอเขาได้ไปเรียนต่อในโรงเรียนแห่งที่สอง เขาก็ลาออกจากโรงเรียนหลังจากที่เขาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่ 2 หรือชั้น ม.2 ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาที่ทำให้เขาให้ฉายากับตัวเขาเองว่า “เด็กเกเร”
ในปีพ.ศ. 2517 เมื่อสายัณห์มีอายุ 14 ปี เขาหารายได้จากการดูแล ล้างรถในลานจอดรถของตึก อินทราคอมเพล็กซ์ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของ กรุงเทพฯ ตัวอาคารดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ประกอบไปด้วยโรงแรมอินทรา รีเจนท์ ห้างสรรพสินค้าพาต้า และโรงภาพยนตร์อินทรา ซึ่งในปัจจุบันมีแต่โรงแรมอินทรา รีเจนท์เท่านั้นที่ยังคงประกอบกิจการในปัจจุบัน
จนอยู่มาวันหนึ่ง ชายสูงอายุชาวอังกฤษได้เข้ามาทักทายตัวสายัณห์เองที่ลานจอดรถ ซึ่งชายชาวอังกฤษคนนั้นเป็นคนที่สายัณห์ได้กล่าวทักทายอยู่เป็นประจำเมื่อหลายวันก่อน ชายชาวอังกฤษคนนั้นถามสายัณห์ว่า เขาว่ายน้ำเป็นไหม ซึ่งคำตอบที่ได้คือ “เป็นครับ” ชายชาวอังกฤษคนนั้นจึงได้ยื่นข้อเสนอในการเล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ที่เขากำลังถ่ายทำอยู่
ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็คือเรื่อง 007 เพชฌฆาตปืนทอง
ในจำนวนเด็กหนุ่ม 6 คน สายัณห์คือผู้ที่ได้รับการคัดตัวเป็นตัวประกอบ ส่วนบทที่สายัณห์ได้รับเข้าแสดงคือฉากตอนผู้ขายเครื่องสลักไม้รูปช้าง และในบทก็ได้มีการพูดโต้ตอบกับ โรเจอร์ มัวร์ บนช่องทางการสัญจรทางเรือในกรุงเทพฯ
สายัณห์ไม่มีประสบการณ์การแสดงภาพยนตร์มาก่อนและหลังจากภาพยนตร์เรื่องนั้นเขาก็ไม่ได้รับบทการแสดงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สายัณห์ได้บทพูดภาษาอังกฤษที่ถูกเขียนเป็นภาษาคาราโอเกะ ส่วนฉากในภาพยนตร์ที่เขาปรากฏตัวนั้นใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เทคในการจับภาพในวันเดียวซึ่งคือเดือนพฤษภาคม ในปี พ.ศ. 2517 สายัณห์ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวน 250 บาท ส่วนในเรื่องของการติดต่อกับทางผู้ปกครองของสายัณห์นั้นก็ไม่มีพิธีอะไร ไม่มีการให้คำแนะนำปรึกษา การเซ็นสัญญา หรือการขออนุญาตในการเผยแพร่ออกเป็นสื่อ
ตัวสายัณห์เองได้เห็นใบหน้าของตัวเองบนหน้าจอเป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์อินทราในปีถัดมาเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉาย ส่วนครอบครัวของเขาไม่มีใครเชื่อเรื่องราวที่ฟังดูเกินจริงของเขาเลย และดูเหมือนว่าไม่เคยมีใครได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ทั้งยังไม่มีการประชาสัมพันธ์ ไม่มีการสัมภาษณ์ หรือแม่แต้ไม่มีเครดิตแก่ตัวสายัณห์เอง
หลังจากที่สายัณห์ออกจากโรงเรียนในปีถัดมา สายัณห์ได้ทำงานอีกหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการร้านบิลเลียด Rooks ยอดนิยม การลักลอบนำเข้าเมนบอร์ดคอมพิวเตอร์จากสิงคโปร์ หรือการช่วยดำเนินพิธีการศุลกากรของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง เขาถูกจับกุมเป็นจำนวนสี่ครั้งเนื่องจากการละทิ้งหน้าที่ เรื่องการใช้ความรุนแรง และในที่สุด ในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. 2520 เรื่องที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับเขาคือการลักลอบขายยาอี สำหรับการก่ออาชญากรรมในครั้งนี้ เขาถูกจำคุกที่เรือนจำคลองเปรมที่โด่งดังของกรุงเทพฯ เป็นระยะเวลา 14 วัน
สายัณห์ยังมีปัญหาทางด้านสุขภาพมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และต้องทนทำศัลยกรรมหลายครั้งสำหรับความบกพร่องในช่องท้องและหัวใจแต่กำเนิด
และในวันนี้สายัณห์ได้ใช้ชีวิตด้วยเงินบำนาญเล็กๆ น้อยๆ เป็นจำนวนเงิน 3,100 บาท บวกกับทุกอย่างที่เขาสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพ ได้ เช่น ส่งของด้วยมอเตอร์ไซค์ เขายังคงอาศัยอยู่กับพี่ชายของเขาในบ้านที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาในเขตบางนาของกรุงเทพฯ จนถึงทุกวันนี้
สัมภาษณ์ห้าตอน คุณสายัณห์: